วันจันทร์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2559

ระบบสื่อสารข้อมูลสำหรับเครือข่ายคอมพิวเตอร์

       
        ความหมาย ระบบการโอนถ่ายข้อมูลหรือการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างต้นทางหรือปลายทางโดยใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เช่น โทรศัพท์ โทรสาร โมเด็ม คอมพิวเตอร์ อุปกรณ์เครือข่ายต่างๆ ดาวเทียม ควบคุมการส่งและการไหลของข้อมูลจากต้นทางไปยังปลายทาง
องค์ประกอบระบบสื่อสารข้อมูล
สำหรับเครือข่ายคอมพิวเตอร์

1.ข่าวสาร (Message) เป็นข้อมูลรูปแบบต่างๆ
2.ผู้ส่งหรืออุปกรณ์ส่งข้อมูล (Sender)
3.สื่อหรือตัวกลาง (Media) เป็นสื่อหรือช่องทาง ที่ใช้ในการนำข้อมูลจากต้นทางไปยังปลายทาง
4.ผู้รับหรืออุปกรณ์รับข้อมูล (Receiver)
5.กฎ ข้อตกลง ระเบียบวิธีการรับส่ง(protocol)
สื่อหรือตัวกลางของระบบสื่อสารข้อมูล
สำหรับคอมพิวเตอร์
1.สื่อหรือตัวกลางประเภทมีสาย
1.1 สายคู่บิดเกลียว (twisted pair) มี 2 ชนิด คือ
สายคู่บิดเกลียวไม่มีฉนวนหุ้ม (Unshielded Twisted Pair : UTP)
สายคู่บิดเกลียวมีฉนวนหุ้ม (Shielded Twisted Pair : STP)
1.2 สายโคแอกเชียล (Coaxial Cable) เป็นสื่อกลางที่มีส่วนของสายส่งข้อมูล
เป็นลวดทองแดงอยู่ตรงกลาง หุ้มด้วยพลาสติก ส่วนชั้นนอกหุ้มด้วยโลหะ
หรือฟอยล์ถักเป็นร่างแหเพื่อป้องกันสัญญาณรบกวน
1.3 สายใยแก้วนำแสง (Fiber-optic cable) เป็นสื่อกลางที่ใช้ส่งข้อมูล
ในรูปแบบของแสง
2.สื่อหรือตัวกลางประเภทไร้สาย
2.1 คลื่นไมโครเวฟ (Microwave) เป็นสื่อกลางในการสื่อสารที่มีความเร็วสูง
ส่งข้อมูลโดยอาศัยสัญญาณไมโครเวฟซึ่งเป็นสัญญาณคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
เหมาะกับการส่งข้อมูลในพื้นที่ห่างไกลกันมากๆ หรือพื้นที่ทุรกันดาร
2.2 ดาวเทียม (Satellite) ในการส่งสัญญาณดาวเทียมนั้น จะต้องมีสถานี
ภาคพื้นดินคอยทำหน้าที่รับและส่งสัญญาณขึ้นไปบนดาวเทียม
2.3 แอคเซสพอยต์ (Access Point)
ความหมายเครือข่ายคอมพิวเตอร์
ระบบการสื่อสารระหว่างคอมพิวเตอร์จำนวนตั้งแต่สองเครื่องขึ้นไป และอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ต่างๆเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลและสารสนเทศ รวมถึงใช้อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ร่วมกัน
ประโยชน์ของเครือข่ายคอมพิวเตอร์
1. การใช้ทรัพยากรร่วมกัน (Resources Sharing) หมายถึง การใช้อุปกรณ์ต่างๆ เช่น เครื่องพิมพ์ร่วมกัน
2. การแชร์ไฟล์ เมื่อคอมพิวเตอร์ถูกติดตั้งเป็นระบบเน็ตเวิร์กแล้ว การใช้ไฟล์ข้อมูลร่วมกันหรือการแลกเปลี่ยนไฟล์ทำได้อย่างสะดวกรวดเร็ว
3. สามารถบริหารจัดการทำงานคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องได้จากศูนย์กลาง (Centralized Management)
4. สามารถทำการสื่อสารกันในเครือข่าย (Communication) ได้หลายรูปแบบ
5. มีระบบรักษาความปลอดภัยของข้อมูลบนเครือข่าย (Network Security)

ประเภทของระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์
1. เครือข่ายท้องถิ่น (Local Area Network : LAN)
2. เครือข่ายเมือง  (Metropolises Area Network :MAN)
3. เครือข่ายระดับประเทศ (Wide Area Network : WAN)
4. เครือข่ายอินเทอร์เน็ต (Internet)

รูปแบบการเชื่อมต่อของระบบเครือข่าย
 network topology
1.การเชื่อมต่อเครือข่ายแบบบัส (bus network) เป็นการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ ทุกเครื่องบนสายสัญญาณหลักเส้นเดียว ที่ปลายทั้งสองด้านปิดด้วยอุปกรณ์ที่เรียกว่า Terminator ไม่มีคอมพิวเตอร์เครื่องใด เครื่องหนึ่ง เป็นศูนย์กลางในการเชื่อมต่อ คอมพิวเตอร์เครื่องใดหยุดทำงาน ก็ไม่มีผลกับคอมพิวเตอร์เครื่องอื่น ๆ ในเครือข่าย การรับส่งสัญญาณบนสายสัญญาณต้องตรวจสอบสายสัญญาณ BUS ให้ว่างก่อน จึงจะสามารถส่งสัญญาณไปบนสาย BUS ได้
2. การเชื่อต่อเครือข่ายแบบวงแหวน (ring network) การเชื่อมต่อแบบวงแหวน เป็นการเชื่อมต่อจากเครื่องหนึ่งไปยังอีกเครื่องหนึ่ง จนครบวงจร ในการส่งข้อมูลจะส่งออกที่สายสัญญาณวงแหวน โดยจะเป็นการส่งผ่านจากเครื่องหนึ่ง ไปสู่เครื่องหนึ่งจนกว่าจะถึงเครื่องปลายทาง ปัญหาของโครงสร้างแบบนี้คือ ถ้าหากมีสายขาดในส่วนใดจะทำ ให้ไม่สามารถส่งข้อมูลได้
3. การเชื่อมต่อเครือข่ายแบบดาว (Star network)  เป็นการเชื่อมต่อสายสื่อสารจากคอมพิวเตอร์หลายๆเครื่องไปยังฮับ (hub) หรือ สวิตช์ (switch) ซึ่งเป็นอุปกรณ์สลับสายกลางแบบจุดต่อจุดเป็นศูนย์กลางของการเชื่อมต่อ วงจรเชื่อมโยงระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ให้ติดต่อสื่อสารถึงกัน
4. เครือข่ายแบบ Hybrid เป็นการเชื่อมต่อที่ผสมผสานเครือข่ายย่อยๆ หลายส่วนมารวมเข้าด้วยกัน เช่น นำเอาเครือข่ายระบบ Bus, ระบบ Ring และ ระบบ Star มาเชื่อมต่อเข้าด้วยกัน เหมาะสำหรับบางหน่วยงานที่มีเครือข่ายเก่าและใหม่ให้สามารถทำงานร่วมกัน
อุปกรณ์เครือข่าย
1. ฮับ (hub) เป็นอุปกรณ์ที่ทวนและขยายสัญญาณเพื่อส่งต่อไปยังอุปกรณ์อื่นให้ได้ระยะทางที่ยาวไกลขึ้นไม่มีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลก่อนและหลังการรับส่งและไม่มีการใช้ซอฟแวร์ใด ๆ มาเกี่ยวข้องกับอุปกรณ์ชนิดนี้ การติดตั้งทำได้ง่าย
2. โมเด็ม (modem) เป็นฮาร์ดแวร์ที่ทำหน้าที่แปลงสัญญาณอนาล็อก(Analog signal)ให้เป็นสัญญาณดิจิทัล (Digital Signal)และในทางกลับกันก็แปลงสัญญาณดิจิทัลให้เป็นสัญญาณอนาล็อก
3. การ์ด LAN (Network Interface Card – NIC) เป็นการ์ดสำหรับต่อเครื่องพีซีเข้ากับสาย LAN
4. สวิตช์ (Switching) เป็นอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่กระจายช่องทางการสื่อสารข้อมูลหลายช่องทางการสื่อสารข้อมูลหลายช่องทางในระบบเครือข่ายคล้ายHubแต่ต่างกันในเรื่องของกรทำงานและความเร็ว คือ แต่ละช่องสัญญาณ (port) จะใช้ความเร็วเป็นอิสระต่อกันตามมาตรฐานความเร็ว
5. เราท์เตอร์ (router) เป็นอุปกรณ์ในระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่ทำหน้าที่เป็นตัวเชื่อมโยงให้เครือข่ายหลายเครือข่ายที่มีขนาดต่างกันหรือใช้มาตรฐานการส่งผ่านข้อมูล (Transmission) ต่างกันสามารถติดต่อแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกันได้

โปรโตคอล (Protocol)
โปรโตคอล คือ ข้อกำหนดหรือข้อตกลงที่ใช้ควบคุมการสื่อสารข้อมูล
ในเครือข่ายคอมพิวเตอร์ หรืออุปกรณ์เครือข่ายที่ใช้โปรโตคอลชนิดเดียวกัน
ซึ่งสามารถติดต่อสื่อสารระหว่างกันได้เหมือนกับมนุษย์ที่ใช้ภาษาเดียวกัน
ในการสื่อสาร เพื่อให้เกิดความเข้าใจร่วมกันนั่น
องค์กรที่เกี่ยวข้องได้กำหนดโปรโตคอลที่เรียกว่า
มาตรฐานการจัดการระบบการเชื่อมต่อสื่อสารระหว่างระบบเปิด
(Open System International :OSI)
ชนิดของโปรโตคอล
1.ทีซีพีหรือไอพี (TCP/IP)
2.เอฟทีพี (FTP)
3.เอชทีทีพี (HTTP)
4.เอสเอ็มทีพี (SMTP)
5.พีโอพีทรี (POP3)
การถ่ายโอนข้อมูล
1.การถ่ายโอนข้อมูลแบบขนาน (Parallel transmission)
ทำได้โดยการส่งข้อมูลออกมาทีละ 1 ไบต์ หรือ 8 บิต จากอุปกรณ์ส่งไปยังอุปกรณ์รับ ตัวกลางระหว่างสองเครื่องจึงต้องมีช่องทางให้ข้อมูลเดินทางอย่างน้อย 8 ช่องทาง เพื่อให้กระแสไฟฟ้าผ่านโดยมากจะเป็นสายสัญญาณแบบขนาน ระยะทางของสายสัญญาณแบบขนานระหว่างสองเครื่องไม่ควรยาวเกิน 100 ฟุต
2. การถ่ายโอนข้อมูลแบบอนุกรม (Serial transmission)
การถ่ายโอนข้อมูลแบบนุกรม
อาจจะแบ่งตามรูปแบบรับ-ส่ง ได้ 3 แบบคือ
1) สื่อสารทางเดียว (simplex) ข้อมูลส่งได้ทางเดียวเท่านั้น บางครั้งก็เรียกว่า การส่งทิศทางเดียว (unidirectional data bus) เช่น การส่งข้อมูลไปยังเครื่องพิมพ์ การกระจายเสียงของสถานีวิทยุ เป็นต้น
2) สื่อสารสองทางครึ่งอัตรา (half duplex) ข้อมูลสามารถส่งได้ทั้งสองสถานี แต่จะต้องผลัดกันส่งและผลัดกันรับ จะส่งและรับพร้อมกันไม่ได้ เช่น วิทยุสื่อสารของตำรวจ เป็นต้น
3) สื่อสารสองทางเต็มอัตรา (full duplex) ทั้งสองสถานีสามารถรับและส่งได้ในเวลาเดียวกัน เช่น การสนทนาทางโทรศัพท์เป็นต้น

ที่มา : https://amata20120813914194.wordpress.com/

วันเสาร์ที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2559

7 ข้อควรทำ…เมื่อเปิดเทอม



1 ตั้งเป้าหมาย
กำหนดเป้าหมายไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ เลย ว่าที่เราจะเรียนไปทั้งหมดในปีนี้ เราต้องการอะไร เช่น ปีนี้อยากได้เกรดเฉลี่ยเกิน 3.00 ก็ว่ากันไป~(ไม่ควรตั้งต่ำหรือสูงเกินไป) เมื่อมีเป้าหมายแล้วจะทำให้เราตั้งใจเรียนมากขึ้น จากที่เรียนมั่งไม่เรียนมั่ง เกรดเท่าไรก็ช่างมัน พอมีเป้าหมายทำให้รู้ว่าต้องตั้งใจเรียนมากน้อยแค่ไหน ขยันมากน้อยแค่ไหนถึงได้เกรดตามที่เราตั้งไว้ พอตั้งเสร็จแล้ว อาจจะไปทำสนธิสัญญากับท่านพ่อท่านแม่ก็ได้ว่าเทอมนี้ถ้าผมได้เกรดเท่านี้ ท่านพ่อจะซื้อ…ให้นะ (เมื่อมีของรางวัลมาล่อ ก็อาจจะทำให้เราตั้งใจเรียนมากขึ้นก็ได้)
2 สะสางงานแต่ต้นเทอม
หลายๆ คนชอบชะล่าใจ เวลาอาจารย์สั่งงานตั้งแต่ต้นเทอม…”โอ๊ย อีกตั้งเดือนนึง กว่าจะส่ง ไว้ทำวันหลังก็ได้” จากนั้นพอไปถึงกลางเทอม งานก็ทับถมมาเรื่อยๆ สุดท้ายก็ทำไม่ทัน…จริงไม่จริง?
3 งานด่วน มาก่อนงานใหญ่
งานที่ส่งก่อนก็น่าจะทำก่อน ไม่ใช่เรียงลำดับการทำงานตามใจชอบ “โอ๊ย วิชานี้ไม่ชอบเลย ทำวิชานั้นก่อนละกัน” แต่วิชานี้มันส่งก่อนวิชานั้นนี่หว่า…เมื่อท่านทำวิชานั้นเสร็จ ก็เลยกำหนดส่งวิชานี้ไปแล้ว
4 เลือกทำเลที่นั่งให้ดี
ทำเลที่นั่งในห้องก็มีผลต่อการเรียนเหมือนกัน ควรเป็นที่ที่เห็นกระดานชัดๆ หนีเรียนสะดวก หลับสบาย อ่านการ์ตูนใต้โต๊ะไม่มีใครเห็น ข้อนี้คงเป็นสาเหตุของปัญหารถติดวันเปิดเทอมวันแรกสินะ…วันแรกใครๆ ก็อยากให้ ผปค.ไปส่ง จะได้ยึดทำเลดีๆ ไว้ ได้นั่งใกล้เพื่อนสนิท ใกล้พัดลม ฯลฯ

1891396878c0d01646be1cd5d7622fab

5 คบเด็กเรียนไว้สักคน…
ถ้ายังไม่มีเพื่อนที่เรียกได้ว่าเป็นเด็ก(บ้า)เรียน ควรรีบหาไว้สักคนนึง ยิ่งถ้าท่านเป็นคนชอบโดด หรือหยุดเรียนบ่อย บลาๆ ยิ่งสำคัญเข้าไปใหญ่ เพราะเวลาคาบไหนที่เราไม่อยู่ จะได้มาตามงานทีหลังได้ ถามเด็ก(บ้า)เรียนไปเลยว่ามีงานอะไรบ้าง
ถ้าเรามัวแต่ถามคนที่โดดบ่อยๆ เหมือนกัน ชีวิตก็จบ…
a: เฮ้ย คาบ อ.XX มีงานไรมั่งวะ พอดีไม่ได้เข้า
b: ไม่รู้ โดดเหมือนกัน….
6 เลือกคาบโดดเรียน
ก่อนโดดเรียนก็คิดสักนิดเถอะว่าโดดแล้วมีผลกระทบมากน้อยแค่ไหน เลือกวิชาที่โดดแล้วมีผลน้อยที่สุด เป็นวิชาที่ท่านถนัด ไม่ต้องเรียนก็ทำงานส่งได้ เช่น อาจจะเป็นคณิตศาสตร์ หรือ ศิลปะ อะไรอย่างนี้ แต่แนะนำว่าอย่าโดดดีที่สุด อย่างน้อยไปนั่งหลับ / อ่านการ์ตูนในคาบก็ยังดี อย่างน้อยก็ยังรู้ว่าเขาสั่งงานอะไรบ้าง + ไม่โดนตัดคะแนนฝ่ายปกครอง
7 อย่ามีเรื่องกับ อ.ประจำชั้น
การมีเรื่องกับอาจารย์ประจำชั้นตั้งแต่ต้นปีช่างเป็นฝันร้ายเหลือเกิน เพราะเราจะมีความรู้สึก…ว่าเราเป็นลูกเมียน้อยตลอดปี

ที่มา : http://teen.mthai.com/education/93072.html

8 ข้อน่ารู้ของเด็กคอนแวนต์



            1. คณะภคินีเซนต์ปอล เดอ ชาร์ตร เป็นคณะนักบวชคาทอลิกหญิงที่ก่อตั้งขึ้นที่ประเทศฝรั่งเศส ได้เดินทางเข้ามาปฏิบัติหน้าที่ในประเทศไทยครั้งแรกในปี พ.ศ. 2441 เพื่อช่วยเหลืองานด้านพยาบาลในโรงพยาบาลเซนต์หลุยส์ ต่อมาในปี พ.ศ. 2448 ภคินีของคณะได้เข้าช่วยงานสอนภาษาต่างประเทศ การเย็บปักถักร้อย และดนตรีในโรงเรียนอัสสัมชัญคอนแวนต์ และร่วมกับมุขนายกฌอง หลุยส์ เวย์ ก่อตั้งโรงเรียนซางตาครู้สคอนแวนท์ในปี พ.ศ. 2449
2. ในปัจจุบันคำว่าคอนแวนต์มักใช้หมายถึงเฉพาะชุมชนนักบวชหญิง เนื่องจากภคินีคาทอลิกในประเทศไทยส่วนมากทำงานด้านการศึกษา คอนแวนต์ในประเทศไทยจึงมักเปิดเป็นโรงเรียนด้วย ปัจจุบันนี้คณะภคินีเซนต์ปอล เดอ ชาร์ตร มีโรงเรียนในสังกัดทั้งสิ้น 21 แห่ง ได้แก่ อัสสัมชัญคอนแวนต์, ซางตาครู้สคอนแวนท์, เซนต์โยเซฟคอนเวนต์, เซนต์ฟรังซิสซาเวียร์คอนแวนต์, เซนต์โยเซฟ นครสรรค์, เซนต์ปอลคอนแวนต์ ศรีราชา, เซนต์โยเซฟระยอง, เซนต์โยเซฟบางนา, เซนต์โยเซฟศรีเพชรบูรณ์, เซนต์โยเซฟทิพวัล สมุทรปราการ, เซนต์โยเซฟเกาะสมุย, เซนต์ปอลหนองคาย, โรซารีโอวิทยาหนองคาย, เซนต์โยเซฟเพชรบุรี, เซนต์โยเซฟท่าแร่, อัสสัมชัญคอนแวนต์ สีลม, เจ้าฟ้าอุบลรัตน์ เชียงใหม่, เซนต์โยเซฟแม่ระมาด, เซนต์ฟรังซีสเซเวียร์เมืองทอง, อัสสัมชัญคอนแวนต์ ลำนารายณ์, เซนต์โยเซฟแม่แจ่ม ส่วน โรงเรียนพระหฤทัยคอนแวนต์ เป็นคอนแวนต์ของคณะภคินีพระหฤทัยของพระเยซูเจ้าแห่งกรุงเทพฯ
3. โรงเรียนจะเรียกนักบวชหญิง ที่แต่งกายด้วยชุดสีขาวหรือสีเทาว่า “มาเซอร์” (ma soeur) หรือในผู้ที่ตำแหน่งสูงหรือมีอาวุโสมากก็จะเรียกว่า “มาแมร์” (ma mere)13907209_318615901813313_8864613030294219225_n

            4. ทรงผม ผมห้ามทำสี ห้ามดัด ห้ามไว้ผมหน้าม้า จะผมยาว-ผมสั้นก็ห้ามซอย ให้แสกกลางผูกเปียสองข้างผูกโบว์ ขอให้เก็บผมให้เรียบร้อย อย่าให้ผมมันรุ่งริ่งๆ ออกมาหรือปลายผมยาวเกิน
5. เครื่องแต่งกาย ม.ต้น ใส่เสื้อสีขาวแขนยาว ปกเสื้อยาวลงมาผูกโบว์ และจั๊มเอว กระโปรงต้องคลุมเข่า ไม่เห็นข้อพับด้านหลัง และนักเรียนม.ปลาย ติดกระดุมคอตลอดเวลาๆ สวมเนคไท นอกจากนี้ไม่ใช้เครื่องประดับที่มีค่า ส่วนนาฬิกา แว่นตา ต้องไม่ใช้แบบแฟชั่น
6. กระเป๋านักเรียน ให้ใช้กระเป๋าหนังสีดำ และถือกระเป๋าข้างมาคู่กันได้ แต่ห้ามหิ้วกระเป๋าข้างมาเดี่ยวๆ
7. ไม่อนุญาตให้เด็กนักเรียนทำงานในวงการบันเทิงทุกกรณี
8. เด็กๆ มักนิยมสวม “ปาแตง” ศัพท์ที่ค้นกูเกิ้ลไม่เจอ เพราะเป็นโค้ดลับเฉพาะของสาวคอนแวนต์ คล้ายๆ รองเท้าสลิปเปอร์ สวมใส่เดินในชั้นเรียน มีสีน้ำเงิน ดำหรือเทา และถ้าวันไหนขัดพื้น จะวิ่งลื่นปรี๊ดๆ กันไปหลายวัน
 250px-Slippers

ที่มา : http://teen.mthai.com/education/115164.html